ประสบการณ์และบทเรียนที่ได้จากการเยี่ยมเยือนสถาบันอุดมศึกษา
: คำอธิบายตัวชี้วัดเพิ่มเติม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.
นาวาตรีหญิง ดร.
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์
เพื่อให้มีการดำเนินการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ เกิดสัมฤทธิผลสูงสุดและสถาบันอุดมศึกษาได้รับการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างถูกต้องและเป็นธรรม
ตามรูปแบบกัลยาณมิตรประเมิน (Amicable Assessment Model) โดยดำเนินการตามปรัชญาของการประเมินเพื่อการเรียนรู้และการพัฒนา
การมีความเชื่อว่า การเข้าถึงความจริงด้วยความเป็นกลาง เป็นการเข้าถึงทั้งปวง (หลวงปู่แหวน) และการเข้าถึงทั้งปวง เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้
การพัฒนาที่ยั่งยืน ความเข้าใจและเข้าถึงวัตถุประสงค์ รวมถึงสาระของตัวชี้วัดเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะดำเนินการและการประเมินผลตามตัวชี้วัด
ทั้งส่วนสถาบันอุดมศึกษาและที่ปรึกษาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขอเสนอแนะให้สถาบันอุดมศึกษาและผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดศึกษาคำรับรองการปฏิบัติ
ราชการ คู่มือการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.
๒๕๕๑ พร้อมใบแทรกแก้คำผิดในคู่มือจำนวน ๒ หน้า ถ้ามีข้อสงสัยประการใดขอให้ติดต่อ
นาวาตรีหญิง ดร.
อย่างไรก็ดี เพื่อเสริมสร้างการทำงานแบบกัลยาณมิตร เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจและเข้าถึงตัวชี้วัดบางตัวยิ่งขึ้น
สมศ.จึงได้เขียนคำอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
ตัวชี้วัดที่
๘ ระดับความสำเร็จของการประกันคุณภาพภายในที่ก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์ เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งมีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องโดยดำเนินการตามระบบประกันคุณภาพภายในของสถาบันตาม
มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๘ ข อ ง พ ร ะ ร า ช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๒ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕ และรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก
สาระสำคัญ สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งและทุกหน่วยงานหลักของสถาบันต้องมีระบบและกลไกในการประกันคุณภาพภายในที่เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานของการอุดมศึกษาของชาติ
และรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกจาก สมศ. ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในระบบประเมินคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานหลักของสถาบันอุดมศึกษา
ต้องวางแผนและจัดระบบพัฒนาคุณภาพที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติราชการประจำปี
จัดระบบการติดตามคุณภาพว่าเป็นไปตามเป้าหมายเพียงใด ถ้ายังไม่ได้ตามมาตรฐานและเป้าหมายสถาบันและ
หน่วยงานหลักมีมาตรการกำกับและเร่งรัดอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานหลักดำเนินการประเมินตนเองตามระบบประกันคุณภาพ
แล้วจัดทำรายงานประเมินตนเองที่เป็นรายงานประจำปี พร้อมจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพสืบเนื่องจากประเมินตนเองเพื่อเสนอสภามหาวิทยาลัยหรือสภาสถาบันพิจารณาเพื่อนำผลประเมินสู่การพัฒนางานประจำ
และนำแผนพัฒนาคุณภาพที่ได้รับการอนุมัติสู่การปฏิบัติ ตลอดจนการนำเสนอรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินตนเองต่อต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน
อันเป็นการแสดงความโปร่งใสและความรับผิด รับชอบต่อการใช้งบประมาณแผ่นดินของประเทศ โดยเชื่อว่าความโปร่งใสพร้อมรับการตรวจสอบได้ตลอดจนความรับผิด
รับชอบของสถาบันอุดมศึกษา ย่อมทำให้สถาบันอุดมศึกษามีการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพอย่างต่อเนื่องและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้สถาบันพึงประเมินผลสัมฤทธิ์ของระบบประกันคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วย
การประเมินผลผลิตและผลลัพธ์ของระบบประกันคุณภาพภายในที่มีต่อการปฏิบัติพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาในระดับกระบวนการ เช่น การเรียนการสอน
หรือระดับผลผลิต เช่น คุณภาพบัณฑิต เป็นต้น ซึ่งในคู่มือ หน้า ๑๒๖ ได้เน้นย้ำให้ประเมินผลลัพธ์หรือผลกระทบของระบบประกันคุณภาพ
เพื่อนำผลประเมินมาใช้ในการทบทวนนโยบายการศึกษาและระบบประกันคุณภาพของสถาบัน
ลักษณะตัวชี้วัดที่ ๘ เป็นขั้นตอนของความสำเร็จ (Milestones) ซึ่งต้องดำเนินตามขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในเกณฑ์การให้คะแนนหน้า ๑๒๖ สถาบันและหน่วยงานหลักของสถาบันพึงดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
พร้อมแสดงหลักฐานการดำเนินงานและผลที่เกิดขึ้น ซึ่งจะใช้ในการประเมินตนเอง และแสดงให้ที่ปรึกษาได้สอบทานคะแนนต่อไป
ข้อแนะนำ
๑. สถาบันพึงสร้างความเข้าใจในวัตถุประสงค์และชี้แจงธรรมชาติของตัวชี้วัดให้ผู้รับผิดชอบทั้งระดับสถาบันและระดับหน่วยงาน
เข้าใจถึงวิธีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวชี้วัดและบรรลุตามขั้นตอนของความสำเร็จ
โดยเฉพาะการดำเนินการในขั้นตอนที่ ๕ การประเมินผลลัพธ์ของระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถาบันและผู้รับผิดชอบ
ตัวชี้วัดต้องมีความเข้าใจในวิธีการและดำเนินการส่งเสริมให้ระบบประกันคุณภาพภายในมีผลต่อการปฏิบัติพันธกิจของสถาบัน เช่น ทำอย่างไรให้มีการประกันคุณภาพการเรียนการสอนระดับอาจารย์
๒. ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดจะต้องกำหนดวิธีวิทยาการประเมินเชิงปริมาณหรือ/และเชิงคุณภาพในการประเมินผลลัพธ์ของระบบประกันคุณภาพภายใน และการนำผลไปใช้ในการปรับนโยบายการศึกษา
และปรับระบบการประกันคุณภาพภายในของสถาบันและหน่วยงานหลักของสถาบัน
๓. พึงระลึกเสมอว่า ตัวชี้วัดที่ ๘ เป็นการวัดตามขั้นตอนของความสำเร็จ
ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินตามขั้นตอน จะดำเนินการแบบก้าวกระโดดข้ามขั้นตอนมิได้ลุวัตถุประสงค์ของตัวชี้วัดในแต่ละขั้นตอนก็ประเมินตนเองตามหลักฐานการดำเนินงานและผลที่เกิดขึ้นตามเกณฑ์การให้คะแนนตามคู่มือ
หน้า ๑๒๖ พร้อมเตรียมหลักฐานให้ที่ปรึกษาและสำนักงาน ก.พ.ร. สอบทานคะแนนต่อไป
๔. เมื่อผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวชี้วัดในแต่ละขั้นตอนก็ประเมินตนเองตามหลักฐานการดำเนินงานและผลที่เกิดขึ้นตามเกณฑ์การให้คะแนนตามคู่มือ
หน้า ๑๒๖ พร้อมเตรียมหลักฐานให้ที่ปรึกษาและสำนักงาน ก.พ.ร. สอบทานคะแนน
ตัวชี้วัดที่
๑๒ ระดับความสำเร็จของการจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต
วัตถุประสงค์
เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาทราบรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการผลิตบัณฑิตต่อหัวในแต่ละสาขาวิชาที่เปิดสอน
เพื่อให้เกิดแนวทางในการวางแผนการผลิตบัณฑิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สาระสำคัญ กรมบัญชีกลางได้กำหนดแนวทางในการคำนวณต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต
เพื่อให้เกิดมาตรฐานการคำนวณแบบเดียวกัน รวมทั้งเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศดังกล่าวในการจัดสรรงบประมาณการศึกษา
ข้อแนะนำ ในการจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตนั้น ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการ
ดังนี้
๑. จำแนกกลุ่มสาขาวิชาที่เปิดสอน (ให้เป็นไปตามที่เสนอ สมศ. ไป เพื่อการรับการประเมินภายนอก)
๒. คิดคำนวณค่าใช้จ่ายต่อหน่วยผลผลิตตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด
โดยกรอกข้อมูลให้ครบทั้ง ๖ ตาราง ตามที่ปรากฏในคู่มือการประเมินการปฏิบัติราชการ ปีงบประมาณ
๒๕๕๑ และดำเนินการให้ครบทุกกลุ่มสาขาวิชาที่นำเสนอในข้อ ๑ ทั้งนี้ กระบวนการคิดคำนวณก็ขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนด
โดยเฉพาะเกณฑ์การปันส่วน การคิดค่าเสื่อมราคา เป็นต้น หากมีข้อสงสัยให้โทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
กรมบัญชีกลาง สำนักมาตรฐานด้านการบัญชีภาครัฐ กลุ่มมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐ
โทร. ๐-๒๒๗๐-๐๔๖๓
ทั้งนี้ ให้สถาบันอุดมศึกษาจัดเก็บหลักฐานในการนำส่ง พร้อมทั้งสำเนาโต้ตอบจากสำนักงบประมาณ
กรมบัญชีกลาง และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไว้เพื่อการประเมินในรอบ ๑๒ เดือนด้วย
๓. จัดทำบัญชีต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตตามหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนดตามข้อ
๒และรายงานผลการคำนวณต้นทุนรูปแบบที่กรมบัญชีกลางกำหนดโดยเสนอให้สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง
และสำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ
๔. ให้สถาบันดำเนินการพัฒนาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานจากค่าใช้จ่ายต่อหน่วยผลผลิตที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วโดยจะต้องมีการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของค่าใช้จ่ายต่อหน่วยผลผลิตกับค่าใช้จ่ายต่อหน่วยผลผลิตของสถาบันอุดมศึกษา
และมีกระบวนการวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และ นำเสนอแนวทางดังกล่าวสู่วาระเพื่อพิจารณาให้กับสภามหาวิทยาลัย
ตัวชี้วัดที่
๒๐ ระดับความสำเร็จของการจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์
วัตถุประสงค์
เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาได้มีการวิเคราะห์ว่า
หากสถาบันจะก้าวไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่สถาบันกำหนดขึ้นนั้น
จะต้องมีความรู้ในด้านใดบ้าง เพื่อขับเคลื่อนดังกล่าว ทั้งนี้ หากสถาบัน
สามารถดำเนินการจัดการความรู้ทุกองค์ความรู้ที่วิเคราะห์แล้วว่ามีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนให้สถาบันบรรลุวัตถุประสงค์ตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่สถาบันกำหนดขึ้น
เชื่อได้ว่าสถาบันจะบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานทุกประเด็นยุทธศาสตร์
สาระสำคัญ
ความรู้ทั้งหมดมีการกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ (Sea of
knowledge) ซึ่งตามหลักทฤษฎีการจัดการความรู้นั้นได้วิเคราะห์ไว้ว่า
ความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลนั้นมีอยู่สูงที่สุดถึงร้อยละ ๗๐ ของความรู้ทั้งหมด มนุษย์เราจึงควรทำการเก็บรวบรวม
กลั่นกรองความรู้ให้อยู่ในรูปที่สามารถถ่ายโอนไปให้บุคคลอื่นเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ หากพิจารณาจากองค์ความรู้ที่สนับสนุนให้สถาบันบรรลุสู่เป้าหมายตามประเด็นยุทธศาสตร์นั้น
จะพบว่ามีองค์ความรู้จำนวนมาก การคัดเลือกเอาเฉพาะความรู้ที่จำเป็นมากๆ (Critical
Knowledge) สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งสถาบันแต่ละแห่งย่อมมีปัญหาและความต้องการที่แตกต่างออกไป
สมศ. จึงได้พัฒนาแนวทางการวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกองค์ความรู้ที่จำเป็นมาดำเนินการจัดการความรู้
โดยใช้หลักการการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (Needs
Assessment) และหลักการจัดลำดับความสำคัญ (Prioritisation)
มาประยุกต์ใช้สำหรับตัวชี้วัดนี้
ข้อแนะนำ การจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์นั้น
ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการจัดการความรู้อย่างน้อยจำนวน ๒ แผน หากสถาบันมีความประสงค์ที่จะดำเนินการมากกว่า
๒ แผน ก็สามารถกระทำได้ทั้งนี้ให้คัดเลือกแผนที่สามารถดำเนินการได้ดีที่สุดมารับการประเมินเพียง
๒ แผน โดยทั้ง ๒ แผนต้องเกิดจากการคัดเลือกความรู้โดยการวิเคราะห์จากประเด็นยุทธศาสตร์ (ตามแนวทางที่
สมศ. กำหนด) พร้อมทั้งจัดทำแผนการจัดการความรู้ในรูป Gantt chart
เพื่อให้สามารถติดตามประเมินความก้าวหน้าและความสำเร็จของการดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการจัดการความรู้นั้น สถาบันสามารถเลือกใช้ได้ตามที่สถาบันฯ
เห็นควร
ขั้นตอนการดำเนินการตามตัวชี้วัดการจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์
๑. วิเคราะห์องค์ความรู้ที่สนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์
(สมมติว่ามหาวิทยาลัยมีประเด็นยุทธศาสตร์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน n ยุทธศาสตร์
แนวทางการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง Y กับ X หมายถึง การพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างอะไรที่เราเป็นต้องรู้เพื่อให้สามารถดำเนินงานตามประเด็นยุทธศาสตร์นี้
(Y) กับเรารู้อะไรเกี่ยวกับการดำเนินงานตามประเด็นยุทธศาสตร์นี้
(X) ในการวิเคราะห์ดังกล่าวต้องทำให้ครบทุกประเด็นยุทธศาสตร์ และในการวิเคราะห์แต่ละประเด็นต้องใช้ความเห็นจาก
บุคลากรส่วนใหญ่ขององค์กร
ด้วยบุคลากรแต่ละคนย่อมมีความเห็นและการรับรู้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
๒. วิเคราะห์ความสำคัญของความรู้ที่เกิดขึ้น โดยทำการให้ค่าตัวเลขของ
GAP ที่เกิดขึ้น การพิจารณาความสำคัญของความรู้ดังกล่าวควรใช้วิธีการระดมสมองจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในสถาบันในแต่ละเรื่องนั้นๆ ทั้งนี้ การเริ่มต้นพิจารณาให้ค่าตัวเลขนั้นเป็นการกระทำในเชิงเปรียบเทียบว่าความรู้ใดมีความสำคัญและมีความเร่งด่วนในการดำเนินการมากกว่ากัน
สิ่งหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาให้ความสำคัญร่วมด้วยก็คือ หากความรู้ในข้อใดเป็นความรู้ที่สามารถส่งผลกระทบให้เกิดการสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์อื่นๆ
ด้วย ย่อมแสดงว่าความรู้ดังกล่าวควรได้รับการบริหารจัดการก่อน เพื่อเป็นการตัดตอน
การเกิดปัญหาอื่นๆ
ในกระบวนการเปรียบเทียบดังกล่าวสามารถเริ่มต้นให้ความสำคัญกับความรู้แรกที่ระดับคะแนนเป็น
๕ จากนั้นจึงเปรียบเทียบประเด็นความรู้อื่นๆ กับความรู้แรก เพื่อดูว่าความรู้ใดมีความสำคัญในการสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์ได้มากกว่ากัน
หากความรู้ใดมีความสำคัญมากกว่าก็พิจารณาให้คะแนนความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นต้น
อย่างไรก็ตามในการจัดอันดับความสำคัญของความรู้ดังกล่าว
สามารถวิเคราะห์แบบแยกประเด็นยุทธศาสตร์หรือวิเคราะห์เปรียบเทียบรวมทุกประเด็นยุทธศาสตร์ก็ได้
๓. ให้มหาวิทยาลัยนำประเด็นความรู้ที่อยู่ในลำดับต้นๆ จำนวน
๒ ประเด็นความรู้ (ลำดับความสำคัญที่ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของประเด็นความรู้ทั้งหมด)
มาทำแผนการจัดการความรู้ โดยการเขียนแผนการดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณที่จะได้รับการประเมิน
ซึ่งควรนำเสนอในรูป Gantt chart ซึ่งควรมีความสมเหตุสมผลในการเขียน
Gantt chart ดังกล่าว
การดำเนินการจัดการความรู้ หมายถึง การที่สถาบันจัดการความรู้ได้ครบตามแผนใน
Gantt
chart โดยสถาบันสามารถเลือกใช้ทฤษฎีการจดั
การความรู้ได้ต ามที่ประสงค์
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยต้องเลือกจัดการความรู้อย่างน้อย
๒ ประเด็น
ความรู้ ซึ่งในแต่ละประเด็นความรู้สามารถใช้ทฤษฎีการจัดการความรู้ที่แตกต่างกันได้
๔. สถาบันต้องมีการประเมินความก้าวหน้าของแผนจัดการความรู้
โดยแยกให้เห็นว่าแต่ละแผนการจัดการความรู้ที่มหาวิทยาลัยนำเสนอนั้นมีความก้าวหน้าตามแผนที่วางไว้คิดเป็นร้อยละเท่าใดของแผน
๕. เมื่อสิ้นปีงบประมาณจะต้องดำเนินการประเมินผลการดำเนินงานด้านการจัดการความรู้
โดยแสดงให้เห็นว่าได้นำผลการประเมินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการทำงานปกติอย่างไรและนำผลการประเมินฯ
ดังกล่าวไปใช้เพื่อวางแผน
ในการจัดการความรู้ในประเด็น/แง่มุมใดบ้าง
ตัวชี้วัดที่
๒๒ ร้อยละของหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน (หลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาของกระทรวง
ศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๔๘) ต่อหลักสูตรทั้งหมด
วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มคุณภาพบัณฑิตให้ครบตามความต้องการของผู้ใช้บัณฑิต
และทำให้ผู้ใช้บัณฑิตพึงพอใจต่อบัณฑิตเพิ่มขึ้น จะทำให้การได้งานทำของบัณฑิตเพิ่มขึ้น
โดยการปรับปรุงหลักสูตรก่อนปีงบประมาณ ๒๕๔๙ หรือเสนอหลักสูตรใหม่ที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๔๘ แม้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะให้เวลาสถาบันปรับปรุงหลักสูตรเดิมให้เข้าเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร
พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นเวลา ๕ ปีก็ตาม และหากสถาบันปรับปรุงหลักสูตรให้เข้าเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร
พ.ศ. ๒๕๔๘ เร็วเท่าใด สถาบัน
ก็สามารถพัฒนาบัณฑิตที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
สาระสำคัญ
๑. จำนวนหลักสูตรระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้มาตรฐานหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๔๘ ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาสถาบัน
และประทับรับทราบ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแล้วโด
ย ให้นับสะสมได้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙
- ๒๕๕๑ ทั้งนี้ให้นับได้ทั้งหลักสูตรปรับปรุงใหม่และหลักสูตรใหม่
๒. จำนวนหลักสูตรที่เปิดสอนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นจำนวนหลักสูตรที่สถาบันมีอยู่ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ให้นับรวมหลักสูตรมิได้เปิดสอนจริง
แต่สถาบันยังไม่ได้แจ้งปิดหลักสูตรให้คณะกรรมการการอุดมศึกษา
รับทราบด้วย
๓. ในกรณีหลักสูตรที่มิได้เปิดสอนจริงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยผ่านความเห็นชอบจากสภาสถาบันและประทับรับทราบโดย
สกอ. แล้ว ให้นับจำนวนหลักสูตรที่ได้มาตรฐานในตัวเศษและส่วนด้วย
ข้อเสนอแนะ
๑. สถาบันพึงทำความเข้าใจในคำนิยามของหลักสูตรที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์หลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ว่าต้องเห็นชอบโดยสภาสถาบันและประทับรับทราบโดย สกอ.
แล้วในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒๕๕๑
๒. เร่งรัดการปรับปรุงหลักสูตรก่อนปีงบประมาณ ๒๕๔๙ และทำความตกลงกับ
สกอ. เรื่องระยะเวลาที่ใช้ในการประทับรับทราบหลักสูตร
โดยที่ปรึกษาได้ประสานกับ สกอ. เบื้องต้นในเรื่องนี้ให้แล้ว
๓. จัดทำระบบข้อมูลหลักสูตรให้สมบูรณ์ พร้อมการประเมินตนเองเชิงประจักษ์
และการสอบทานจากผู้ประเมินภายนอก
ตัวชี้วัดที่
๒๓ ประสิทธิภาพการเรียนรู้ (การสอน) ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
วัตถุประสงค์ เพื่อให้คณาจารย์ส่วนใหญ่ไม่น้อยกว่าร้อยละ
๗๕ มีการจัดการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อเพิ่มคุณภาพของบัณฑิต
สาระสำคัญ นิยามปฏิบัติการของประสิทธิภาพการเรียนรู้ (การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของอาจารย์ประจำมีคุณลักษณะ
๗ ประการ แสดงในคู่มือ หน้า ๒๑๒ และเกณฑ์ให้คะแนน เช่น อาจารย์ประจำส่วนใหญ่ร้อยละ
๗๕ ปฏิบัติได้ ๑ - ๒ ประเด็น ได้ ๑ คะแนน เป็นต้น)
เป็นที่น่าสังเกตว่าหน่วยนับเป็นอาจารย์ประจำแต่ละบุคคล และการให้คะแนนนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนประเด็นที่อาจารย์ประจำส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๗๕ ปฏิบัติได้ถ้าอาจารย์ประจำไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๕ ปฏิบัติได้ครบทั้ง ๗ ประเด็น ก็จะได้
๕ คะแนน
การประเมินตามตัวชี้วัดนี้แตกต่างจากการประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ. ที่ใช้พิจารณาจากภาพรวมของสถาบัน แต่กรณีนี้พิจารณาจากประสิทธิภาพการสอนของอาจารย์ประจำแต่ละบุคคล
จึงมิอาจนำผลการประเมินไปเปรียบเทียบกัน แม้เป็นตัวชี้วัดเดียวกันแต่วิธีการประเมินและวิธีการให้คะแนนต่างกัน
ข้อเสนอแนะ
๑. สถาบันพึงประชมุชี้แจงให้ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดทั้งระดับสถาบัน
หน่วยงานหลัก และอาจารย์ประจำทั้งหมด เข้าใจตัวชี้วัดนี้ให้ตรงตามนิยาม หน้า ๒๑๒ และ
๒๑๓
๒. สถาบันต้องส่งเสริมอาจารย์ประจำให้มีประสิทธิภาพการสอนตามประเด็นทั้ง
๗ เช่น การส่งเสริมให้อาจารย์มีการวิจัยและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน เป็นต้น มิใช่มุ่งเน้นว่าการประเมินการเรียนการสอนว่าได้มาตรฐานตามเกณฑ์ให้คะแนนเป็นสำคัญ
๓. สถาบันพึงใช้การวิจัยประเมินผลโดยเก็บข้อมูลจากผู้เรียน
ผู้สอนและหลักฐานต่างๆ ในการประเมินระสิทธิภาพการสอนในแต่ละประเด็น ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดประเมินตนเอง
ตามเกณฑ์การให้คะแนน ตามคู่มือหน้า ๒๑๓ พร้อมเก็บหลักฐานไว้ให้สอบทานต่อไป